อิสลาม ศาสนาใหม่ของชาวอเมริกัน

อิสลาม ศาสนาใหม่ของชาวอเมริกัน

ในเว็บไซต์ beliefnet.com มีบทความน่าสนใจเรื่องหนึ่งซึ่งผมอยากจะนำมาถ่ายทอดให้ได้อ่านกันบทความนี้มีชื่อว่า Islam : The Next American Religion (อิสลาม : ศาสนาใหม่ของคนอเมริกัน) เขียนโดยนายไมเคิล วูลฟ์ ซึ่งมิได้เป็นมุสลิมแต่อย่างใด ไมเคิล วูลฟ์เริ่มต้นในบทความว่าขณะนี้สหรัฐเริ่มเป็นสถานที่พักพิงอันสุขสบายของ ชาวคริสเตียนที่ทอดทิ้งศาสนาของตนไปแล้วทั้งๆที่ก่อนหน้านี้บรรพบุรุษของ ชาวอเมริกันได้มาอาศัยอยู่ที่นี่เพื่อหวังจะมีเสรีภาพในการปฏิบัติคำสอนของ ศาสนาที่พวกตนยึดถือ
ดังนั้น เขาจึงตั้งคำถามว่า “ถ้าหากจะมี ศาสนาใหม่มาแทนศาสนาคริสต์และมีความสอดคล้องกับคุณค่าทางสังคมและระบบทุน นิยมประชาติไตยในอเมริกา ศาสนาอะไรจะเหมาะสมสำหรับสภาพปัจจุบันของคนอเมริกัน ?” หลังจากตั้งคำถามเองแล้ว เขาก็ตอบคำถามเองว่า “บางทีอาจจะเป็นอิสลาม”
ไม เคิล วูลฟ์ยอมรับว่าอิสลามเป็นประชาคมทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามและ เจริญเติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐ ไม่ใช่แค่เพียงเพราะการอพยพเท่านั้น เพราะกว่า 50% ของมุสลิมจำนวน 6 ล้านคนของอเมริกาถือกำเนิดที่นี่ สถิติเช่นนี้บ่งบอกถึงความสอดคล้องต้องกันขั้นพื้นฐานระหว่างคุณค่าของคน อเมริกันและความเชื่อที่มุสลิมยึดถือ ชาวอเมริกันที่พยายามศึกษาสัจธรรมของอิสลามจะรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าตัวเอง ก็คุ้นเคยกับสิ่งที่มุสลิมยึดถืออยู่แล้วอเมริกาจะเป็นชาติมุสลิมได้ไหม ?

เขาตอบว่าต่อไปนี้คือเหตุผล 7 ข้อที่อาจให้คำตอบว่า “ได้” เพราะ
อิสลามเป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว : มุสลิมเคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียวกับชาวยิวและคริสเตียน นอกจากนี้แล้วมุสลิมยังให้ความเคารพศาสดาต่างๆในศาสนายูดายและศาสนาคริสต์ ตั้งแต่อับราฮัม โมเสส ไปจนถึงพระเยซู โดยไม่ละเว้นแม้แต่โนอาห์ โยบ(อัยยูบ)หรืออิสยาห์ ในฐานะที่เป็นชาติคนอเมริกันสามารถที่จะหันไปรับทัศนะความเชื่อตามแบบของอับ ราฮัม(หรือนบีอิบรอฮีม)ได้ไม่ยาก
อิสลามมีวิญญาณเป็นประชาธิปไตย : อิสลามสนับสนุนสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้งและการศึกษาหาความรู้เพื่อการประกอบอาชีพ
คัมภีร์ กุรอานซึ่งเป็นที่มาของกฎหมายอิสลามก็สั่งให้มุสลิมปกครองกันโดยการปรึกษา หารือ ในมัสญิดก็ไม่มีระบบนักบวชหรือคนทำหน้าที่ทางศาสนาเป็นการเฉพาะ เพราะสำหรับอิสลามแล้วทุกคนต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองและทุกคนเท่าเทียม กันต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า
คนอเมริกันที่เอารัฐบาลอิสลามไป เปรียบเทียบกับเผด็จการเพียงไม่กี่คนในบางประเทศอาจทึกทักว่ามุสลิมเป็นคน ที่ถูกกำหนดให้ต้องยอมจำนน ซึ่งไม่เป็นความจริง การปกครองแบบเผด็จการปัจจุบันในตะวันออกกลางนั้นมิได้เป็นผลมาจากหลักการอิส ลาม แต่มันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกและผลที่เกิดขึ้นหลังจากลัทธิล่าอาณานิคมของ ยุโรป ขณะเดียวกัน มุสลิมก็เหมือนกับคนอื่นๆทั่วไปในโลกที่ต้องการจะมีสิทธิ์มีเสียงในประเทศ ที่ตนอาศัยอยู่ แต่คนเหล่านั้นสามารถที่จะใช้สิทธิ์ดังกล่าวของตนเองได้ในอเมริกา ดังนั้น หากจะพูดไปแล้ว อเมริกาจึงมีเจตนารมณ์ที่ใกล้เคียงกับอิสลามมากกว่าประเทศอาหรับหลายประเทศ เสียด้วยซ้ำ
อิสลามมีการปฏิบัติทางด้านจิตวิญญาณที่น่าสนใจ : การปฏิบัติทางด้านจิตวิญญาณเป็นพื้นฐานของการแสวงหาพระเจ้า จะมีที่ไหนดีกว่าในอเมริกา แผ่นดินแห่งปัจเจกชนและผู้แสวงหาทางด้านจิตวิญญาณ ? และใครที่จะได้รับประโยชน์มากไปกว่าคนอเมริกันนานนับเป็นศตวรรษจากครูและนัก เรียนที่ประพฤติตนแบบอิสลาม เป็นเรื่องน่าแปลกมากที่หนังสือบทกวีที่ขายดีที่สุดก็คือหนังสือของรูมีซึ่ เป็นซูฟีมุสลิมผู้มีชื่อเสียงเมื่อ 800 ปีก่อน
อิสลามเป็นศาสนาที่ส่งเสริมสิทธิและโอกาสที่เท่าเทียมกันสำหรับทุกคน : จากนิวยอร์คถึงแคลิฟอร์เนีย ศาสนสถานที่มีคนไปชุมนุมปฏิบัติศาสนกิจเป็นกิจวัตรประจำวันก็คือมัสญิดของ มุสลิมประมาณ 4,000 แห่ง นั่นเป็นเพราะอิสลามได้ถูกกำหนดมาเป็นศาสนาสำหรับทุกคน สัญญาแห่งความจงรักภักดี (The Pledge of Allegiance) หรือ หนึ่งชาติ “ภายใต้พระเจ้า” และคำปราศรัยที่เก็ททิสเบิร์กของอับราฮัม ลินคอล์น (ที่ว่าประชาชนทุกคนถูกสร้างมาเท่าเทียมกัน)ก็แสดงถึงเนื้อหาที่เป็นพื้นฐาน ของอิสลาม
อิสลามมักจะถูกมองว่าเป็นศาสนาที่ก้าวร้าวเพราะ แนวความคิดเรื่องการญิฮาด แต่ความจริงแล้วเป็นการเข้าใจผิด เนื่องจากมุสลิมเชื่อว่าพระเจ้าต้องการโลกที่ยุติธรรม ดังนั้น พวกเขาจึงต้องเป็นนักเคลื่อนไหวและพวกเขาย้ำว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันต่อ หน้าพระเจ้า นี่คือเหตุผลสองประการที่ว่าทำไมชาวอเมริกันเชื้อสายอาฟริกาจำนวนมากจึงได้ หันมาสู่อิสลามจนขณะนี้ชนอเมริกาผิวดำมีจำนวนถึงหนึ่งในสามของจำนวนมุสลิม ทั้งหมดในอเมริกา
อิสลามมีส่วนร่วมในผลประโยชน์กับอเมริกาในด้านความสะอาดของอาหาร : มุสลิมถือศีลอดตลอดเดือนเราะมะฎอนซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ชาวอเมริกันให้ความ ยกย่องชื่นชมและอยากจะทำตามบ้าง และก็มีหลายคนทำตาม แม้แต่ตัวไมเคิล วูลฟ์เองก็เคยชวนเพื่อนลองถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนและผลของการถือศีลอดได้ ทำให้บางคนเลิกบุหรี่ได้
นอกจากนี้แล้ว มุสลิมยังมีกฎเกี่ยวกับการกินอาหารที่กำหนดประเภทเนื้อสัตว์ที่สามารถกินได้ ไว้ กฎเหล่านี้กำหนดให้ต้องมีการเตรียมเนื้อที่ “ฮะลาล” โดยเน้นย้ำถึงเรื่องความสะอาดและการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีมนุษยธรรมด้วย กฎเหล่านี้กำลังเป็นที่ยอมรับกันเช่นเดียวกับกฎเรื่องอาหารชีวภาพ
อิสลามใจกว้างต่อศาสนาอื่นๆ : เช่นเดียวกับอเมริกา อิสลามก็มีประวัติศาสตร์แห่งการให้ความเคารพศาสนาอื่นๆ ในยุคสมัยของมุฮัมมัด ชาวคริสเตียน ชาวซอเบียนและชาวยิวในแผ่นดินมุสลิมต่างคนต่างปฏิบัติศาสนาของตนไปและได้รับ อิสรภาพทางด้านศาสนาเป็นอย่างมาก ขณะที่อิสลามแพร่ขยายไปทางตะวันออกยังอินเดียและจีน อิสลามก็มองว่าศาสนาโซโรแอสเตอร์และศาสนาพุทธเป็นหนทางไปสู่การรอดพ้น ขณะที่อิสลามแผ่ขยายไปทางเหนือและตะวันตก ศาสนายูดายก็ได้รับประโยชน์ การกลับมาของพวกยิวยังเยรูซาเล็มหลังจากที่ถูกถือว่าเป็นพวกนอกรีตมานานนับ ศตวรรษก็เกิดขึ้นหลังจากที่มุสลิมมายึดเมืองนี้ไว้ได้ใน ค.ศ.638 สิ่งแรกที่มุสลิมทำที่นั่นก็คือการฟื้นฟูบูรณะภูเขาแห่งวิหาร (Temple Mount) ซึ่งตอนนั้นได้ถูกทำให้มีสภาพเหมือนกองขยะไปแล้ว
ปัจจุบัน ถึงแม้ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์มีเรื่องศาสนาเข้ามาเกี่ยว ข้อง แต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงอยู่ว่านี่คือสงครามเรื่องดินแดน มิใช่สงครามระหว่างสองศาสนา อิสลามและศาสนายูดายให้ความเคารพเชื้อสายศาสดาเดียวกันซึ่งย้อนไปจนถึงอับรา ฮัมและไม่มีลูกกระสุนปืนหรือลวดหนามสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้
ดัง ที่นิตยสารนิวยอร์คไทม์สได้รายงานไว้ในขณะที่บางครั้งมีความตึงเครียด ระหว่างยิวกับมุสลิมเกิดขึ้นในบริเวณมหาวิทยาลัย แต่ต่อมานักศึกษาเหล่านี้ก็สามารถหาทางปรองดองกันได้เพราะสิ่งหนึ่งก็คือสอง ศาสนานี้มีกฎในเรื่องอาหารเหมือนกันซึ่งรวมทั้งการเชือดสัตว์และการห้ามกิน เนื้อหมู
อิสลามส่งเสริมการแสวงหาเสรีภาพทางด้านศาสนา : การที่บรรพบุรุษชาวคริสเตียนผู้เคร่งครัดได้อพยพมายังพลีมอธร็อคนั้นมิใช่ เป็นการอพยพทางศาสนาครั้งแรกของโลก ก่อนหน้านั้น มุฮัมมัดและสาวกประมาณ 100 คนก็เคยอพยพหลบหนีการกดขี่ข่มเหงจากมักก๊ะฮใน ค.ศ.622 เช่นกัน คนเหล่านั้นอยู่รอดโดยการอพยพไปยังมะดีนะฮซึ่งเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ทาง ตอนเหนือขึ้นไปประมาณ 200 ไมล์และที่นั่นมุสลิมสามารถที่จะตั้งประชาคมใหม่ที่สามารถปฏิบัติศาสนกิจตาม ความเชื่อของตนได้อย่างเปิดเผย ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าในยุคของเราก็มีมุสลิมหลายคนได้อพยพมาที่นี่ในฐานะ ผู้หนีมาจากการกดขี่โดยทิ้งบ้านของตัวเองไว้ในแคชเมียร์ บอสเนียและโคโซโวซึ่งการเป็นมุสลิมที่นั่นอาจทำให้อายุสั้นลงโดยใช่เหตุ
ไมเคิล วูลฟ์สรุปตรงท้ายว่า “ใคร จะรู้ ? บางที มันอาจไม่นานนักที่คำอย่างเช่น “เศาะลาฮฺ” และ “เราะมะฎอน” จะเข้าไปอยู่ในพจนานุกรมเว็บสเตอร์และมุสลิมจะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ในอเมริกา

บทความอาจารย์บรรจง  บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน

ใส่ความเห็น